เมื่อคุณนำเอกสารมาให้เราที่ NYC+ เพื่อ "รับรอง Notary Public" คุณไม่ได้กำลังเพียงแค่รับตราประทับ แต่คุณกำลังเข้าร่วมในกระบวนการทางกฎหมายที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี วิชาชีพ Notary Public เป็นหนึ่งในสถาบันทางกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ถือกำเนิดขึ้นจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการสร้าง "ความไว้วางใจ" (Trust) และ "ความแน่นอน" (Certainty) ในการทำธุรกรรมและข้อตกลง
การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์นี้ ไม่ใช่เพียงเรื่องน่าสนใจ แต่ยังช่วยสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมตราประทับของ Notary จึงมีความสำคัญและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล หน้านี้จะพาคุณเดินทางย้อนเวลา จากผู้จดบันทึกในยุคโรมัน สู่ทนายความผู้ทำคำรับรองในยุคดิจิทัล และเจาะลึกว่าวิชาชีพนี้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยได้อย่างไร
ปรับปรุงล่าสุด: 23 ตุลาคม 2025
1. จากแผ่นจารึกสู่ตราประทับดิจิทัล: การเดินทางกว่า 2,000 ปีของ Notary Public
วิชาชีพ Notary Public ถือกำเนิดขึ้นก่อนที่ทนายความหรือผู้พิพากษาในรูปแบบปัจจุบันจะถือกำเนิดเสียอีก รากฐานของมันย้อนกลับไปถึงความจำเป็นในการมี "พยานที่เป็นกลาง" (Impartial Witness) เพื่อบันทึกและยืนยันข้อเท็จจริง ในยุคที่คนส่วนใหญ่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ การมีบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐหรือศาสนจักรให้ทำหน้าที่เป็นผู้บันทึกที่น่าเชื่อถือ จึงเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้สังคมและการค้าดำเนินต่อไปได้
ในยุคโบราณ การยืนยันข้อตกลงอาจใช้เพียงการจับมือต่อหน้าผู้อาวุโส แต่เมื่อสังคมซับซ้อนขึ้น การค้าขยายตัวข้ามพรมแดน และแนวคิดเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมีความสำคัญ จึงจำเป็นต้องมี "เอกสาร" และ "ผู้รับรองเอกสาร" วิวัฒนาการของ Notary คือภาพสะท้อนวิวัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์ จากผู้จดบันทึกชวเลขบนแผ่นขี้ผึ้งในกรุงโรม สู่ผู้ร่างกฎบัตรที่ดินให้กษัตริย์ในยุคกลาง และในปัจจุบัน คือทนายความผู้ตรวจสอบตัวตนผ่านวิดีโอคอลและประทับตราดิจิทัล (Digital Seal) บนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
แม้เทคโนโลยีจะเปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ของภารกิจยังคงเดิม นั่นคือการเป็น "ผู้พิทักษ์ความไว้วางใจ" (Guardian of Trust) เพื่อให้เอกสารที่ออกโดย Notary ในประเทศหนึ่ง สามารถถูกนำไปใช้ในอีกประเทศหนึ่งได้อย่างมั่นใจ
2. จุดกำเนิดในยุคโรมัน: "Tirones", "Notarii" และ "Tabelliones"
รากฐานที่แท้จริงของ Notary Public ต้องย้อนกลับไปในยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน ซึ่งมีความต้องการสูงในการบันทึกคำปราศรัย, กฎหมาย, และการพิจารณาคดีในศาล
"Tirones" และ "Notarii": ผู้บันทึกชวเลข
ในยุคสาธารณรัฐโรมัน คำว่า "Notarius" (พหูพจน์: "Notarii") ถูกใช้เรียกเลขานุการส่วนตัวหรือผู้จดบันทึกสาธารณะ พวกเขามีทักษะเฉพาะทางในการจดบันทึกอย่างรวดเร็ว โดยใช้ระบบชวเลข (Shorthand) ที่เรียกว่า "Notae Tironianae" หรือ Tironian Notes
ระบบชวเลขนี้ ถูกคิดค้นโดย Marcus Tullius Tiro (มาร์คัส ทูลลิอุส ติโร) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "Tiro" (ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "Tirones") ติโรเป็นทาสที่ได้รับการปลดปล่อย (Freedman) และทำหน้าที่เป็นเลขานุการส่วนตัวคนสนิทของนักการเมืองและนักปราชญ์ชื่อดังอย่าง Cicero (ซิเซโร) ติโรได้พัฒนาระบบสัญลักษณ์หลายพันตัวเพื่อจดบันทึกคำปราศรัยของซิเซโรในวุฒิสภาแบบคำต่อคำ
ดังนั้น "Tirones" และ "Notarii" ในยุคแรก จึงเปรียบได้กับ "นักชวเลข" หรือ "เลขานุการ" มากกว่าที่จะเป็นนักกฎหมาย พวกเขาเป็นผู้บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่มีอำนาจในการ "รับรอง" หรือให้ผลทางกฎหมายแก่เอกสารนั้นด้วยตนเอง
"Tabelliones": บรรพบุรุษที่แท้จริงของ Notary
ตำแหน่งที่ถือเป็นบรรพบุรุษสายตรงของ Notary Public สมัยใหม่ในระบบ Civil Law คือ "Tabelliones" (ทาเบลลิโอเนส)
ในขณะที่ Notarii ทำงานให้รัฐหรือขุนนาง, Tabelliones เป็นกลุ่มวิชาชีพอิสระที่ให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการร่างเอกสารกฎหมาย เช่น:
- สัญญาซื้อขาย (Contracts of Sale)
- พินัยกรรม (Wills)
- เอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน (Conveyances)
- เอกสารการแต่งงาน (Marriage Contracts)
Tabelliones ไม่ได้เพียงแค่จดบันทึก แต่พวกเขามีความรู้ด้านกฎหมายในการ "ร่าง" เอกสารให้ถูกต้องตามแบบแผนของโรมัน พวกเขาได้รับการแต่งตั้งจากรัฐ และเอกสารที่พวกเขาร่างและเก็บรักษา (เรียกว่า "Instrumenta") ถือว่ามี "Publica Fides" หรือ "ความน่าเชื่อถือในทางสาธารณะ" ซึ่งหมายความว่าเอกสารนั้นได้รับการยอมรับในศาลว่าเป็นหลักฐานที่ถูกต้อง โดยไม่จำเป็นต้องเรียกพยานคนอื่นมาสืบอีก นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด "Authentic Act" หรือเอกสารที่สมบูรณ์ในตัวเอง ซึ่งเป็นหัวใจของระบบ Notary แบบ Civil Law ในปัจจุบัน
3. บทบาทในยุคกลาง: ผู้บันทึกแห่งศาสนจักรและอาณาจักร
หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในศตวรรษที่ 5 ยุโรปเข้าสู่ยุคมืด (Dark Ages) ความรู้ด้านการอ่านเขียนและการร่างกฎหมายถดถอยลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม สถาบันที่ยังคงรักษาองค์ความรู้เหล่านี้ไว้คือ "ศาสนจักร" (The Church)
Notaries แห่งศาสนจักร (Ecclesiastical Notaries)
ศาสนจักรคาทอลิกได้สืบทอดโครงสร้างการบริหารและระบบกฎหมาย (Canon Law) ต่อมาจากโรมัน ศาสนจักรจำเป็นต้องมีผู้บันทึกที่น่าเชื่อถือเพื่อจดบันทึกการประชุมสภา (Councils), คำตัดสินของพระสันตะปาปาและบิชอป, และการจัดการทรัพย์สินของวัด Notary แห่งศาสนจักรจึงถือกำเนิดขึ้น โดยได้รับอำนาจจากพระสันตะปาปา (Apostolic Authority) ทำให้พวกเขามีสถานะเป็นที่ยอมรับทั่วยุโรปคริสเตียน
Notaries แห่งอาณาจักร (Imperial & Royal Notaries)
เมื่อยุโรปเริ่มฟื้นตัวและก่อตั้งอาณาจักรใหม่ๆ ขึ้น เช่น จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ภายใต้การนำของชาร์เลอมาญ (Charlemagne) ในราวปี 800 AD กษัตริย์และจักรพรรดิเหล่านี้ก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการมีระบบบันทึกของตนเอง
พวกเขาเริ่มแต่งตั้ง "Notaries" ของตนเอง (Royal Notaries หรือ Imperial Notaries) เพื่อทำหน้าที่:
- ร่างและบันทึกกฎหมายและพระราชโองการ
- บันทึกการแต่งตั้งขุนนางและการมอบที่ดิน (Land Grants)
- ร่างสนธิสัญญาระหว่างอาณาจักร
นี่คือจุดเริ่มต้นของการแยกระหว่างอำนาจของศาสนจักรและอาณาจักรในวิชาชีพ Notary
การฟื้นฟูในอิตาลีและการค้า
จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นในอิตาลีช่วงศตวรรษที่ 11-12 ด้วยการฟื้นฟูการศึกษาด้านกฎหมายโรมันที่มหาวิทยาลัยโบโลญญา (University of Bologna) และการเติบโตของการค้าทางทะเลในเมืองต่างๆ เช่น เวนิส และ เจนัว ทำให้เกิดความต้องการ Notary มืออาชีพจำนวนมหาศาลเพื่อร่างสัญญาการค้า, สัญญาเงินกู้, และเอกสารประกันภัยทางทะเล วิชาชีพ Notary จึงแยกตัวออกจากศาสนจักรอย่างชัดเจน และกลายเป็นวิชาชีพกฎหมายที่ทรงเกียรติและจำเป็นต่อเศรษฐกิจ
4. การพัฒนาระบบ Notary ในยุโรป (Civil Law Notary)
จากรากฐานในอิตาลียุคกลาง ระบบ Notary ได้พัฒนาจนมีรูปแบบที่ชัดเจนในประเทศภาคพื้นทวีปยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ระบบกฎหมายแบบ Civil Law (ระบบประมวลกฎหมาย) โดยเฉพาะในฝรั่งเศส, สเปน, เยอรมนี, และอิตาลี
"Latin Notary": นักกฎหมายผู้ทรงเกียรติ
ระบบนี้มักถูกเรียกว่า "Latin Notary" หรือ "Civil Law Notary" ซึ่งมีลักษณะเด่นดังนี้:
- สถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ (Public Official): แม้ว่า Notary ในระบบนี้มักจะดำเนินงานในสำนักงานเอกชน แต่พวกเขาได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากรัฐ (เช่น กระทรวงยุติธรรม) และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ
- คุณวุฒิสูง: ผู้ที่จะเป็น Notary ต้องจบการศึกษาระดับสูงด้านกฎหมาย (เทียบเท่าหรือสูงกว่าทนายความ) และต้องผ่านการฝึกงานและการสอบแข่งขันที่เข้มงวดมาก
- หน้าที่ร่างเอกสาร (Drafting): นี่คือหัวใจสำคัญ Notary ระบบ Civil Law มีหน้าที่ "ร่าง" เอกสารทางกฎหมายให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย เช่น สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์, พินัยกรรม, สัญญาจัดตั้งบริษัท, สัญญาก่อนสมรส
- ที่ปรึกษาที่เป็นกลาง (Impartial Advisor): Notary ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายที่เป็นกลางแก่ "ทั้งสองฝ่าย" เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงนั้นยุติธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย
- "Authentic Act" (เอกสารรับรองที่สมบูรณ์ในตัวเอง): เอกสารที่ Notary ระบบ Civil Law ได้ร่างและรับรอง จะมีสถานะพิเศษเรียกว่า "Authentic Act" ซึ่งมีผลบังคับใช้ทางกฎหมายเทียบเท่ากับคำพิพากษาของศาล สามารถนำไปใช้บังคับคดีได้ทันทีโดยไม่ต้องฟ้องร้องใหม่
- การเก็บรักษาต้นฉบับ (Archiving): Notary จะเก็บรักษาเอกสาร "ต้นฉบับ" (เรียกว่า "minute") ไว้ที่สำนักงานของตนตลอดไป และจะออก "สำเนาที่รับรอง" (authentic copies) ให้แก่คู่สัญญาเท่านั้น
ระบบนี้ถูกทำให้เป็นมาตรฐานอย่างชัดเจนที่สุดใน "ประมวลกฎหมายนโปเลียน" (Napoleonic Code) ของฝรั่งเศสในปี 1804 และได้แพร่หลายไปยังประเทศที่ใช้ระบบ Civil Law ทั่วโลก รวมถึงในเอเชียบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้
5. ความแตกต่างในโลก Anglo-American (Common Law Notary)
ในขณะที่ระบบ Civil Law พัฒนาไปในทิศทางนั้น ระบบในอังกฤษและประเทศที่ได้รับอิทธิพล (เช่น สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, รวมถึงไทย) กลับมีวิวัฒนาการที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
"Common Law Notary": พยานผู้ทรงคุณวุฒิ
ในอังกฤษโบราณ บทบาทการร่างเอกสารมักเป็นของ "Scriveners" (อาลักษณ์) ต่อมาอำนาจในการรับรองเอกสารเพื่อใช้ "ระหว่างประเทศ" (ซึ่งเป็นอำนาจของศาสนจักรเดิม) ถูกโอนมายังอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี (Archbishop of Canterbury)
ในสหรัฐอเมริกา อำนาจการแต่งตั้ง Notary ถูกมอบให้แก่ผู้ว่าการรัฐ (Governor) หรือรัฐมนตรี (Secretary of State) ของแต่ละรัฐ ระบบ Common Law Notary จึงมีลักษณะเด่นที่ "แตกต่าง" จาก Civil Law Notary อย่างชัดเจน:
- สถานะ: โดยทั่วไปไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง แต่เป็น "บุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐ" (Public Officer) ให้ปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง
- คุณวุฒิ: ในหลายพื้นที่ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา) ผู้ที่เป็น Notary ไม่จำเป็นต้องเป็นนักกฎหมายหรือจบนิติศาสตร์ เพียงแค่ผ่านการอบรมและสอบใบอนุญาต (ที่ไม่ซับซ้อน) และไม่มีประวัติอาชญากรรม (ยกเว้น Notary ในบางรัฐของสหรัฐฯ หรือในอังกฤษที่เรียกว่า Scrivener Notary ซึ่งต้องเป็นทนายความ)
- หน้าที่ที่จำกัด (Limited Function): นี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุด Notary ระบบ Common Law "ไม่มีหน้าที่ร่างเอกสาร" และ "ห้ามให้คำปรึกษาทางกฎหมาย"
- บทบาทหลัก: คือการเป็น "พยานที่เป็นกลางในการยืนยันตัวตน" (Impartial Witness to Identity) ภารกิจหลักคือการตรวจสอบบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตของผู้ลงนาม เพื่อยืนยันว่า "บุคคลที่มาลงนามคือคนเดียวกับที่ระบุในเอกสาร" และรับรองว่าพวกเขาลงนามด้วยความสมัครใจ
- ประเภทของงาน: รับรองลายมือชื่อ (Attesting Signatures), ให้คำสาบาน (Administering Oaths/Affirmations), และรับรองสำเนาถูกต้อง (Certifying Copies)
ดังนั้น เมื่อคุณไปหา Notary ในนิวยอร์กหรือลอนดอน คุณต้องนำเอกสารที่ร่างมาเรียบร้อยแล้วไปเอง Notary จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเนื้อหา แต่จะตรวจสอบบัตรของคุณและดูคุณลงนามเท่านั้น
6. ประวัติของ Notary Public ในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย ซึ่งใช้ระบบกฎหมายแบบ Civil Law เป็นหลัก (ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสและเยอรมนี) จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่า ระบบ Notary Public ของเรากลับมีลักษณะที่ "เอนเอียงไปทาง Common Law" มากกว่า
ยุคก่อนการปฏิรูปกฎหมาย
ในอดีต สังคมไทยไม่มีแนวคิดเรื่อง Notary Public การทำธุรกรรมหรือเอกสารสำคัญจะใช้พยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ หรือทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น "กรมการอำเภอ" (นายอำเภอ) หรือ "กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน" ซึ่งการรับรองเหล่านี้เพียงพอสำหรับการใช้งาน "ภายในประเทศ"
ความต้องการจากต่างประเทศ
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อคนไทยหรือธุรกิจไทยต้องทำธุรกรรมกับต่างประเทศ เช่น ทำหนังสือมอบอำนาจไปใช้ในสหรัฐอเมริกา, เซ็นสัญญาการค้ากับยุโรป, หรือรับรองเอกสารการศึกษาเพื่อไปเรียนต่อ ประเทศปลายทางเหล่านั้น (ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Common Law หรือคุ้นเคยกับระบบสากล) ต้องการเอกสารที่ผ่านการรับรองโดย Notary Public ซึ่งไทยไม่มี
ในยุคแรกๆ (หลายสิบปีก่อน) การรับรองเอกสารเหล่านี้จึงต้องทำที่สถานทูตของประเทศนั้นๆ ในไทย หรือเดินทางไปที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้เจ้าหน้าที่รับรอง ซึ่งสร้างความยุ่งยากและล่าช้าอย่างมาก
กำเนิด "ทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสาร"
เพื่อแก้ปัญหานี้และส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สภาทนายความแห่งประเทศไทย (Lawyers Council of Thailand) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. ทนายความ พ.ศ. 2528 จึงได้เข้ามามีบทบาท
สภาทนายความได้ออก "ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสาร พ.ศ. 2546" (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ข้อบังคับนี้ได้สร้างระบบ Notary Public ของไทยขึ้นมาอย่างเป็นทางการ โดยมีหลักการสำคัญคือ:
- ผู้มีสิทธิ์เป็น Notary: ต้องเป็น "ทนายความ" (ผู้มีใบอนุญาตว่าความ) เท่านั้น
- การขึ้นทะเบียน: ทนายความผู้นั้นต้องผ่านการ "อบรม" หลักสูตรที่สภาทนายความกำหนด และต้อง "ขึ้นทะเบียน" กับสภาทนายความ จึงจะมีอำนาจให้บริการ Notary ได้
- ขอบเขตอำนาจ: ข้อบังคับกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับระบบ Common Law Notary คือ รับรองลายมือชื่อ, ทำคำสาบาน (Affidavit), รับรองสำเนาถูกต้อง, รับรองคำแปล, ทำคำคัดค้านตราสาร (Protest) ฯลฯ
- การกำกับดูแล: Notary Public ของไทยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและจรรยาบรรณของสภาทนายความ
ดังนั้น Notary Public ในประเทศไทย จึงหมายถึง "ทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสาร" (Notarial Services Attorney) ที่ขึ้นทะเบียนกับสภาทนายความอย่างถูกต้องนั่นเอง และนี่คือเหตุผลที่ NYC+ เน้นย้ำว่าบริการของเราดำเนินการโดยทนายความผู้มีใบอนุญาตเสมอ
7. วิวัฒนาการของตราประทับและลายมือชื่อ
สัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดของ Notary คือ "ตราประทับ" (Seal) และ "ลายมือชื่อ" (Signature) ซึ่งก็มีวิวัฒนาการที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
- ยุคโรมันและยุคกลางตอนต้น: การรับรองใช้ "ลายมือชื่อ" (Signum) ที่ซับซ้อนและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Notary แต่ละคน (เรียกว่า Signet) ซึ่งมักจะวาดด้วยมืออย่างวิจิตรบรรจงในตอนท้ายของเอกสาร
- ยุคกลางตอนปลายและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา: "ตราประทับขี้ผึ้ง" (Wax Seal) กลายเป็นมาตรฐาน กษัตริย์ ขุนนาง และ Notary จะมีตราประทับโลหะของตนเอง กดลงบนขี้ผึ้งที่หยดบนเอกสาร ตราประทับนี้คือเครื่องยืนยันตัวตนที่ปลอมแปลงได้ยากที่สุดในยุคนั้น
- ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (ศตวรรษที่ 19): "ตราประทับแบบนูน" (Embosser) ถูกคิดค้นขึ้น สามารถสร้างรอยนูนบนกระดาษได้โดยตรง และ "ตราประทับหมึก" (Rubber Stamp) ก็เริ่มเป็นที่นิยม ทำให้การรับรองสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ตราประทับเริ่มมีรูปแบบมาตรฐาน ระบุชื่อ, ตำแหน่ง, และเขตอำนาจ
- ยุคดิจิทัล (ศตวรรษที่ 21): ปัจจุบัน หลายประเทศยอมรับ "Electronic Notarization" (e-Notarization) โดย Notary จะใช้ "ลายมือชื่อดิจิทัล" (Digital Signature) ที่มีการเข้ารหัส (Cryptographic Signature) และ "ตราประทับดิจิทัล" (Digital Seal) ที่ถูกผูกไว้กับใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Certificate) เพื่อรับรองเอกสาร PDF ซึ่งมีความปลอดภัยสูงและตรวจสอบย้อนกลับได้
8. บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ Notary
- มาร์คัส ทูลลิอุส ติโร (Marcus Tullius Tiro) (ประมาณ 103 – 4 BC): เลขานุการของซิเซโร ผู้คิดค้นระบบชวเลข Tironian Notes และเป็นต้นแบบของ "Notarii" หรือผู้จดบันทึก
- จักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 (Justinian I) (ครองราชย์ 527 – 565 AD): จักรพรรดิแห่งไบเซนไทน์ (โรมันตะวันออก) ผู้บัญชาให้รวบรวม "ประมวลกฎหมายจัสติเนียน" (Corpus Juris Civilis) ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดระเบียบและให้สถานะทางกฎหมายแก่ "Tabelliones" อย่างเป็นทางการ
- โรลันดิโน เด ปัสเซกเจรี (Rolandino de' Passeggeri) (เสียชีวิตปี 1300): Notary และอาจารย์กฎหมายผู้ยิ่งใหญ่แห่งโบโลญญา อิตาลี เขาได้เขียนตำรา "Summa Artis Notariae" (บทสรุปแห่งศิลปะการโนตารี) ซึ่งถือเป็นคัมภีร์ไบเบิลของวิชาชีพ Notary ในยุคกลาง และสร้างมาตรฐานการร่างเอกสารที่ถูกใช้ทั่วยุโรปนานหลายศตวรรษ
9. ไทม์ไลน์ (Timeline) แสดงเหตุการณ์สำคัญ
-
ประมาณ 63 BC
ยุคโรมัน (สาธารณรัฐ)
มาร์คัส ทูลลิอุส ติโร คิดค้นระบบชวเลข "Notae Tironianae" จุดกำเนิดของ "Notarii" (ผู้จดบันทึก)
-
ประมาณ 200-500 AD
ยุคโรมัน (จักรวรรดิ)
วิชาชีพ "Tabelliones" (นักร่างเอกสารสาธารณะ) ถือกำเนิดขึ้น ให้บริการร่างพินัยกรรมและสัญญาแก่ประชาชน
-
535 AD
ยุคไบเซนไทน์
จักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 ประกาศใช้ "ประมวลกฎหมายจัสติเนียน" ซึ่งกำหนดบทบาทและสถานะทางกฎหมายของ Tabelliones อย่างเป็นทางการ
-
ประมาณ 800 AD
ยุคกลาง (ตอนต้น)
จักรพรรดิชาร์เลอมาญ (Charlemagne) เริ่มแต่งตั้ง "Imperial Notaries" เพื่อแยกอำนาจการรับรองเอกสารออกจากศาสนจักร
-
ประมาณ 1250 AD
ยุคกลาง (ตอนปลาย)
โรลันดิโน เด ปัสเซกเจรี แห่งโบโลญญา เขียนตำรา "Summa Artis Notariae" สร้างมาตรฐานวิชาชีพ Notary ทั่วยุโรป
-
ประมาณ 1600s
ยุคอาณานิคม
ระบบ Notary แบบ Common Law ถูกนำไปใช้ในอาณานิคมของอังกฤษในอเมริกาเหนือ โดยเน้นการยืนยันตัวตนและการให้คำสาบาน
-
1804 AD
ยุคนโปเลียน
"ประมวลกฎหมายนโปเลียน" (Napoleonic Code) ในฝรั่งเศส วางรากฐานที่มั่นคงให้กับระบบ Notary แบบ Civil Law สมัยใหม่
-
1985 AD (พ.ศ. 2528)
ประเทศไทย
พ.ร.บ. ทนายความ พ.ศ. 2528 ถูกประกาศใช้ นำไปสู่การจัดตั้งสภาทนายความแห่งประเทศไทย
-
2003 AD (พ.ศ. 2546)
ประเทศไทย
สภาทนายความออกข้อบังคับฯ ว่าด้วยการขึ้นทะเบียน "ทนายความผู้ทำคำรับรองลายมือชื่อและเอกสาร" ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของ Notary Public ในไทย
-
ประมาณ 2000s - ปัจจุบัน
ยุคดิจิทัล
การเกิดขึ้นของ Electronic Notarization (e-Notarization) และ Remote Online Notarization (RON) โดยใช้ลายมือชื่อดิจิทัลและตราประทับอิเล็กทรอนิกส์
10. จากอดีตถึงปัจจุบัน: แก่นแท้ของวิชาชีพที่ไม่เคยเปลี่ยน (ความไว้วางใจและความซื่อสัตย์)
แม้ว่าเครื่องมือจะเปลี่ยนจากแผ่นดินเหนียว, ปากกาขนนก, ตราประทับขี้ผึ้ง, ตราหมึก, มาสู่ลายเซ็นดิจิทัล แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอด 2,000 ปี คือ "แก่นแท้" ของวิชาชีพ Notary Public
ภารกิจหลักของ Notary ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่คือการสร้าง "ความไว้วางใจ" ผ่านการปฏิบัติหน้าที่ด้วย "ความซื่อสัตย์สุจริต" และ "ความเป็นกลาง"
- ความไว้วางใจ (Trust): เมื่อเอกสารมีตราประทับ Notary รัฐบาลต่างประเทศ, ธนาคาร, หรือคู่ค้าของคุณ สามารถไว้วางใจได้ว่าเอกสารนั้นถูกต้องแท้จริง (ในขอบเขตที่ Notary รับรอง) Notary คือ "สะพานแห่งความไว้วางใจ" ที่เชื่อมโยงระบบกฎหมายที่แตกต่างกันทั่วโลก
- ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity): Notary ต้องซื่อสัตย์ต่อข้อเท็จจริง ต้องยืนยันตัวตนของผู้ลงนามอย่างรอบคอบ และต้องไม่รับรองเอกสารที่ตนเองมีส่วนได้เสีย หรือเอกสารที่ทราบว่าเป็นเท็จหรือผิดกฎหมาย
- ความเป็นกลาง (Impartiality): Notary ไม่ได้เป็นทนายความของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในธุรกรรมนั้น แต่เป็นพยานที่เป็นกลางของ "ความจริง" ที่เกิดขึ้นต่อหน้า
"แก่นแท้ของ Notary คือการเปลี่ยนข้อตกลงส่วนตัว ให้กลายเป็นข้อเท็จจริงที่สาธารณชนยอมรับ"
11. เราภูมิใจที่ได้สืบสานวิชาชีพอันทรงเกียรตินี้
ที่ NYC Translation and Notary Service เราไม่ได้มองว่างานของเราเป็นเพียงการประทับตราบนกระดาษ แต่เรามองว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้
ทนายความ Notary Public ทุกคนของเราเข้าใจถึงความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับตราประทับและลายมือชื่อของเรา เรามุ่งมั่นที่จะสืบสานเจตนารมณ์ดั้งเดิมของวิชาชีพนี้ คือการให้บริการด้วยความซื่อสัตย์, แม่นยำ, และเป็นกลาง เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับการทำธุรกรรมระหว่างประเทศของคนไทย
เมื่อคุณเลือกใช้บริการกับเรา คุณจึงมั่นใจได้ว่าคุณกำลังทำงานกับทีมงานที่เคารพในรากฐานของวิชาชีพ และพร้อมที่จะนำความเชี่ยวชาญนั้นมารับใช้เอกสารสำคัญของคุณ