ไขข้อข้องใจเรื่องการรับรองเอกสารสากล
หากคุณเคยต้องนำเอกสารที่ออกในประเทศไทยไปใช้ในต่างประเทศ หรือนำเอกสารจากต่างประเทศกลับมาใช้ที่ไทย คุณอาจเคยได้ยินคำว่า "Apostille" (อ่านว่า อะ-โพ-สตีล) และ "Legalization" (การรับรองนิติกรณ์เอกสาร) ซึ่งสร้างความสับสนให้หลายคนว่าคืออะไร, แตกต่างกันอย่างไร, และสำหรับคนไทยแล้วต้องใช้กระบวนการไหนกันแน่ บทความนี้จะอธิบายทุกอย่างที่คุณต้องรู้ให้กระจ่าง
Apostille (อะโพสตีล) คืออะไร?
Apostille คือ การรับรองเอกสารรูปแบบหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอนอันซับซ้อนของการรับรองเอกสารสำหรับใช้ในต่างประเทศ เปรียบเสมือน "ทางลัด" ที่ทำให้เอกสารราชการซึ่งออกโดยประเทศสมาชิกหนึ่ง สามารถนำไปใช้ได้ในประเทศสมาชิกอื่นๆ ทั้งหมด โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการรับรองจากสถานทูตของประเทศปลายทางอีก
การรับรองรูปแบบนี้เป็นผลมาจาก "อนุสัญญากรุงเฮก" (Hague Convention of 5 October 1961) ที่มีชื่อเต็มว่า "Convention Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อยกเลิกข้อกำหนดการรับรองเอกสารโดยตัวแทนกงสุลหรือสถานทูต และแทนที่ด้วยการรับรองเพียงครั้งเดียวที่เรียกว่า "Apostille"
Apostille vs. Legalization: เปรียบเทียบความแตกต่าง
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เรามาเปรียบเทียบกระบวนการทั้งสองแบบกัน
| หัวข้อ | Apostille (สำหรับประเทศสมาชิก) | Legalization (สำหรับประเทศนอกสมาชิก เช่น ไทย) |
|---|---|---|
| แนวคิดหลัก | การรับรองแบบขั้นตอนเดียว (One-step certification) | การรับรองแบบลูกโซ่ (Chain authentication) |
| ขั้นตอน | นำเอกสารไปรับรอง Apostille จากหน่วยงานผู้มีอำนาจในประเทศต้นทางเพียงแห่งเดียว | 1. รับรองเอกสารที่หน่วยงานต้นสังกัด 2. แปลเอกสาร 3. รับรองคำแปลและต้นฉบับที่กรมการกงสุล 4. รับรองที่สถานทูตของประเทศปลายทางในไทย |
| ระยะเวลา | รวดเร็วกว่ามาก (อาจเสร็จใน 1-2 วันทำการ) | ใช้เวลานานกว่ามาก (อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์) |
| การใช้งาน | ใช้ได้ในทุกประเทศที่เป็นสมาชิกอนุสัญญาฯ (ปัจจุบันกว่า 120 ประเทศ) | ใช้ได้เฉพาะในประเทศปลายทางที่สถานทูตนั้นๆ เป็นตัวแทน |
คนไทยเกี่ยวข้องกับ Apostille ได้อย่างไร?
ข้อเท็จจริงสำคัญ: ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วย Apostille ซึ่งหมายความว่า "เอกสารที่ออกจากประเทศไทย ไม่สามารถขอตราประทับ Apostille ได้" และ "หน่วยงานราชการไทยไม่ได้รับรองตราประทับ Apostille โดยตรง" แล้วเราจะเกี่ยวข้องกับมันได้อย่างไร? มี 2 กรณีหลักๆ ดังนี้:
กรณีที่ 1: นำเอกสารจาก "ประเทศ Apostille" มาใช้ในประเทศไทย
นี่คือกรณีที่พบบ่อยที่สุด เช่น คุณเกิด, เรียนจบ, หรือจดทะเบียนสมรสในประเทศที่เป็นสมาชิก Apostille (เช่น สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เยอรมนี) และต้องการนำเอกสารเหล่านั้น (เช่น สูติบัตร, ใบปริญญา, ทะเบียนสมรส) มาใช้ทำธุรกรรมในประเทศไทย
ขั้นตอนที่ถูกต้องคือ:
- ขอ Apostille จากประเทศต้นทาง: นำเอกสารราชการของคุณไปขอรับตราประทับ Apostille จากหน่วยงานผู้มีอำนาจของประเทศนั้นๆ (Competent Authority) เช่น หากเป็นเอกสารจากสหรัฐอเมริกา ต้องนำไปให้ Secretary of State ของรัฐที่ออกเอกสารนั้นรับรอง
- นำเอกสารเข้ามาในประเทศไทย: นำเอกสารต้นฉบับที่ประทับตรา Apostille เรียบร้อยแล้วเข้ามาในประเทศไทย
- แปลเอกสารเป็นภาษาไทย: นำเอกสารดังกล่าวมาแปลเป็นภาษาไทยโดยศูนย์แปลที่เชื่อถือได้ เช่น NYC+ เพื่อให้แน่ใจว่าคำแปลถูกต้องตามต้นฉบับทุกประการ
- รับรองคำแปลที่กรมการกงสุล: นำเอกสารต้นฉบับที่มีตรา Apostille และเอกสารฉบับแปล ไปยื่นรับรองที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศของไทย เพื่อให้เอกสารฉบับแปลนั้นสามารถใช้อ้างอิงกับหน่วยงานราชการไทยได้
กรณีที่ 2: นำเอกสารไทยไปใช้ใน "ประเทศ Apostille"
ในกรณีนี้ เนื่องจากเอกสารไทยไม่สามารถขอ Apostille ได้ เราจึงต้องใช้วิธีการรับรองแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า "การรับรองนิติกรณ์เอกสาร" (Legalization) ซึ่งมีขั้นตอนซับซ้อนกว่า
ขั้นตอนที่ถูกต้องคือ:
- แปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ (หรือภาษาของประเทศปลายทาง): นำเอกสารราชการไทยของคุณ เช่น ทะเบียนบ้าน, บัตรประชาชน, ใบเปลี่ยนชื่อ มาแปลโดยศูนย์แปลมืออาชีพ
- ยื่นรับรองที่กรมการกงสุลไทย: นำเอกสารต้นฉบับพร้อมฉบับแปล ไปยื่นให้กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ รับรองว่าเอกสารและคำแปลนั้นถูกต้อง
- ยื่นรับรองที่สถานทูตของประเทศปลายทาง: นำเอกสารที่ผ่านการรับรองจากกงสุลไทยแล้ว ไปยื่นให้สถานทูตของประเทศปลายทางที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยรับรองเป็นขั้นตอนสุดท้าย เอกสารชุดนี้จึงจะสามารถนำไปใช้ในประเทศนั้นๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อควรระวัง: อย่าสับสนระหว่างการรับรองของกงสุลไทยกับการทำ Apostille การที่เอกสารไทยมีตรารับรองจากกงสุลไทย ไม่ได้หมายความว่าเอกสารนั้น "เป็น Apostille" แต่เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนของกระบวนการ Legalization
ประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญา Apostille
ด้านล่างคือรายชื่อส่วนหนึ่งของประเทศสมาชิกที่สำคัญ (ข้อมูล ณ ปี 2025 โปรดตรวจสอบข้อมูลล่าสุดอีกครั้งก่อนดำเนินการ)
- ออสเตรเลีย
- ออสเตรีย
- เบลเยียม
- บราซิล
- แคนาดา
- ชิลี
- จีน (ฮ่องกง, มาเก๊า)
- โคลอมเบีย
- เดนมาร์ก
- ฟินแลนด์
- ฝรั่งเศส
- เยอรมนี
- กรีซ
- ฮังการี
- ไอซ์แลนด์
- ไอร์แลนด์
- อิสราเอล
- อิตาลี
- ญี่ปุ่น
- ลักเซมเบิร์ก
- เม็กซิโก
- เนเธอร์แลนด์
- นิวซีแลนด์
- นอร์เวย์
- โปแลนด์
- โปรตุเกส
- รัสเซีย
- แอฟริกาใต้
- เกาหลีใต้
- สเปน
- สวีเดน
- สวิตเซอร์แลนด์
- ตุรกี
- ยูเครน
- สหราชอาณาจักร (UK)
- สหรัฐอเมริกา (USA)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Apostille
ไม่ได้ครับ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญากรุงเฮก เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการไทยจึงไม่สามารถขอรับการประทับตรา Apostille ได้ ต้องใช้วิธีการรับรองแบบ Legalization เท่านั้น
ต้องทำ Apostille บน "เอกสารต้นฉบับ" ในประเทศที่ออกเอกสารนั้น "ก่อน" นำมาแปลครับ เพราะตราประทับ Apostille ถือเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารราชการที่ต้องถูกแปลด้วย จากนั้นจึงนำทั้งชุด (ต้นฉบับที่มี Apostille + คำแปล) ไปรับรองที่กรมการกงสุลของไทย
เราไม่มีบริการยื่นขอ Apostille ในต่างประเทศโดยตรง เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วเจ้าของเอกสารจะต้องเป็นผู้ดำเนินการเองในประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ตาม เราสามารถให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับขั้นตอนและหน่วยงานที่ต้องติดต่อได้ และเมื่อคุณได้รับเอกสารที่มีตรา Apostille กลับมาแล้ว เราพร้อมให้บริการแปลและดำเนินการรับรองในประเทศไทยต่อให้ครบทุกขั้นตอน
ไม่เหมือนกันครับ Notary Public คือทนายความที่ได้รับอนุญาตให้ทำการรับรองลายมือชื่อหรือรับรองสำเนาถูกต้องของ "เอกสารเอกชน" แต่ Apostille คือการรับรอง "เอกสารราชการ" โดยหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้แทนกันได้ ในบางกรณี เอกสารเอกชนอาจต้องผ่านการรับรองจาก Notary Public ก่อน จึงจะสามารถนำไปขอ Apostille ต่อได้
คุณสามารถตรวจสอบรายชื่อประเทศสมาชิกที่เป็นปัจจุบันได้จากเว็บไซต์ทางการของ Hague Conference on Private International Law (HCCH) หรือสอบถามจากสถานทูตของประเทศนั้นๆ โดยตรง หรือวิธีที่ง่ายที่สุดคือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่างเรา NYC+ ยินดีให้ข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้องแก่คุณ
สับสนเรื่องการรับรองเอกสารระหว่างประเทศ?
ให้ความซับซ้อนเป็นหน้าที่ของเรา
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจาก NYC+ เพื่อให้เอกสารของคุณถูกต้องและพร้อมใช้งานได้ทั่วโลก